- อีสุกอีใส หรือ โรคสุกใส
- งูสวัด
- เริม
- โรคหัด หัดเยอรมัน
- กลาก เกลื้อน
- สิว ฝ้า
- สะเก็ดเงิน
- แผลฝีหนอง
- ไฟลามทุ่ง
- ผมบาง ผมร่วง
โรคผิวหนังที่เกิดขึ้นได้ทั่วไป
โรคที่เกิดกับผิวหนัง มีสาเหตุต่างๆมากมายหลายประการ เกิดขึ้นได้จากหลากหลายสาเหตุ อาจเกิดจากการติดเชื้อหรือไม่ มีการติดเชื้อก็ได้ โรคผิวหนังบางชนิดมีรอยโรคที่ผิวหนังคล้ายคลึงกันทั้ง ๆที่อาจมีสาเหตุที่แตกต่างกัน และในทางตรงกันข้ามรอยโรคที่ไม่เหมือนกัน อาจจะมีสาเหตุของโรคเหมือนกันก็ได้ นอกจากนี้โรคผิวหนังที่พบอาจเกิดจากสาเหตุใดสาเหตุหนึ่งเพียงอย่างเดียว หรือมีหลายๆสาเหตุรวมกัน
โรคผิวหนังอาจจำแนกได้ตามสาเหตุของโรคได้ดังต่อไปนี้
- โรคผิวหนังที่มีสาเหตุจากปรสิต
- โรคผิวหนังที่เกิดจากแบคทีเรีย
- โรคผิวหนังที่เกิดจากเชื้อรา
- โรคผิวหนังที่เกิดจากการแพ้แบบต่างๆ
- โรคผิวหนังเนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันผันแปร
- โรคผิวหนังเนื่องจากระบบฮอร์โมน
- โรคผิวหนังเนื่องจากการขาดธาตุอาหาร
- โรคผิวหนังเนื่องจากพันธุกรรม
- โรคเนื้องอกที่ผิวหนัง
สถิติโรคผิวหนัง ในปัจจุบัน
จะเห็นได้ว่า อันดับ 1 ที่มีผู้ป่วยมากที่สุดในปี 2555 คือ ผิวหนังอักเสบ (Dermatitis (Eczema) มีผู้ป่วยสูงสุดถึง 15,425 ราย และอันดับ 2 คือ สิว (Acne) มีถึง 13,721 ราย และเมื่อเปรียบเทียบตั้งแต่ ปี 2552-2555 จะเห็นได้ว่า ผิวหนังอักเสบ (Dermatitis (Eczema) ในช่วงเวลา 3 ปี ที่ผ่านมายังคงมีผู้ป่วยสูงสุดเป็นอันดับ 1 ที่พบตามลำดับ
โรคผิวหนังต่อมต่างๆของผิวหนังอุดตัน และ/หรือ ติดเชื้อ เช่น – สิว (Acne)
สิว คือโรคผิวหนังที่มีอาการเป็นตุ่มเล็กๆ กระจายอยู่บนใบหน้า อก หลัง คอ และแขน สิวนั้นมีหลายประเภทหลายระยะ และมีรูปร่างแตกต่างกันออกไป ตั้งแต่สิวหัวเปิดสีดำ สิวอักเสบ ซึ่งหากเป็นสิวอักเสบขนาดใหญ่ใต้ผิวหนัง คนไทยนิยมเรียกกันว่าสิวหัวช้าง
สาเหตุ การอักเสบของต่อมไขมันคือต้นเหตุของการเกิดสิว ซึ่งมีปัจจัยเข้ามาเกี่ยวข้องหลายอย่างทั้ง อาหาร เครื่องสำอาง ความสะอาด และฮอร์โมน นั่นทำให้ มักสิวเกิดในช่วงวัยรุ่นเป็นหลักเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนภายในร่างกาย สำหรับผู้หญิงบางคนในช่วงก่อนมีประจำเดือนก็จะเกิดอาการสิวเห่อขึ้นได้ โดยส่วนมากสิวมักหายเองโดยธรรมชาติ แต่ถ้าส่งผลกระทบกับชีวิตประจำวันหรือความมั่นใจ
สิวสามารถรักษาได้หลายแบบเช่นกัน ตั้งแต่การกดสิว ฮอร์โมน หรือยาทา และการเลเซอร์ ซึ่งใช้เวลาและการเยียวยาแตกต่างกันออกไป
การติดเชื้อ ซึ่งติดเชื้อได้ทั้งแบคทีเรีย ไวรัส และเชื้อรา เช่น โรคเริม (Herpes simplex)
โรคเริม เกิดจากเชื้อไวรัสเฮอร์ปีส์ ซิมเพลกซ์ (Herpes simplex virus, HSV) ซึ่งมีอยู่ 2 ได้แก่
HSV-1 (ก่อให้เกิดเริมตามผิวหนังทั่วไป และในช่องปากเป็นส่วนใหญ่)
HSV-2 (ก่อให้เกิดเริมที่อวัยวะเพศเป็นส่วนใหญ่) ติดต่อโดยการสัมผัสโดยตรง ระยะฟักตัวประมาณ 1-2 สัปดาห์ สำหรับโรคเริมที่อวัยวะเพศ ถือเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดหนึ่ง
อาการของเริม มักจะมีอาการแสบ ๆ คัน ๆ นำมาก่อนเล็กน้อย แล้วมีตุ่มน้ำใสขนาด 2-3 มิลลิเมตรขึ้นอยู่กับเป็นกลุ่มโดยรอบจะเป็นผื่นแดง ต่อมาตุ่มน้ำใสนี้จะกลายเป็นสีเหลืองขุ่น แล้วแตกกลายเป็นสะเก็ด หายไปได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์ (เร็วสุด 3 วัน) ตำแหน่งที่พบบ่อย ได้แก่ ริมฝีปาก แก้ม จมูก หู ตา ก้น อวัยวะสืบพันธุ์
เริมที่อวัยวะเพศ (Herpes genitalis) สามารถติดต่อโดยการร่วมเพศกับคนที่เป็นโรคนี้อยู่ก่อน หลังจากนั้น 4-7 วัน จะมีอาการแสบ ๆ คัน ๆ ต่อมาจะขึ้นเป็นตุ่มใส ๆ เล็ก ๆ หลายตุ่มที่อวัยวะเพศในผู้ชายอาจขึ้นที่หนังหุ้มปลายองคชาต ที่ตัวหรือที่หัวองคชาต ส่วนผู้หญิง อาจขึ้นที่ปากช่องคลอด ในช่องคลอด หรือที่ปากมดลูก ต่อมาตุ่มใสเหล่านี้จะแตกกลายเป็นแผลเล็กๆ หลายแผลคล้าย ๆ แผลถลอกและมีอาการเจ็บ แล้วแผลจะค่อย ๆ หายไปเองภายใน 1-2 สัปดาห์ โดยไม่มีแผลเป็น ต่อม น้ำเหลืองที่ขาหนีบ (ไข่ดัน) อาจโตและเจ็บด้วย เมื่อเคยเป็นครั้งหนึ่งแล้ว เชื้อจะหลบไปที่ปมประสาท เมื่อร่างกายทรุดโทรม หรือมีการเสียดสี (การร่วมเพศ) เชื้อก็จะโผล่ขึ้นมาทำให้เกิดโรคได้อีก โดยไม่ได้ติดเชื้อจากการร่วมเพศมา ใหม่ ดังนั้นคนที่เคยเป็นโรคนี้ ก็อาจจะมีอาการกำเริบซ้ำ ๆ ซาก ๆ
เริมที่ริมฝีปาก (Herpes labialis หรือ Fever blister) มักขึ้นที่บริเวณผิวหนังใกล้ๆ ริมฝีปาก เริมในช่องปาก อาจพบในเด็ก เป็นตุ่มน้ำเจ็บปวด แล้วแตกเป็นแผลตื้นๆ บริเวณกระพุ้งแก้ม เหงือก เพดานปาก ลิ้น อาจรุนแรงจนกินอาหารไม่ได้
การรักษา
- ให้การรักษาตามอาการ เช่น ถ้าปวดหรือมีไข้ ให้ยาแก้ปวดลดไข้ ถ้ารู้สึกแสบ ๆ คันๆ ให้ ทาด้วยยาแก้ผดผื่นคัน
- เด็กที่เป็นเริมในช่องปาก ให้ดื่มน้ำบ่อย ๆ ป้ายยาภายในช่องปาก วันละ 3-4 ครั้ง ถ้ามีไข้ควรให้เด็กรับประทานยาลดไข้ หากเด็กรับประทานอะไรไม่ได้ อาจต้องให้น้ำเกลือทางหลอดเลือดดำ
ถ้าเป็นรุนแรงหรือขึ้นในตาดำ ควรส่งโรงพยาบาลภายใน 24 ชั่วโมง โรคนี้มักจะเป็นๆ หายๆ เรื้อรัง ก่อให้เกิดความกังวลใจกับผู้ที่เป็นไม่น้อย การเข้ารับการรักษาจาก แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านผิวหนังเป็นทางออกที่ ดีสำหรับผู้ป่วยในโรคนี้ นอกจากทำให้ทราบแน่ชัดว่าเป็นโรคอะไรแล้วยังมีวิธีการรักษาเฉพาะทางที่ตรง กับโรคด้วย
จากโรคภูมิแพ้ตนเอง (ภูมิต้านตนเอง) เช่น โรคพุ่มพวง (โรคลูปัส/Lupus)
โรคพุ่มพวง หรือโรคแพ้ภูมิตัวเอง SLE (Systemic Lupus Erythematosus, SLE) เกิดจากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันที่ทำลายเนื้อเยื่อร่างกายของตนเอง แต่สาเหตุที่ภูมิคุ้มกันทำงานผิดพลาดนั้นยังไม่แน่ชัด แต่ยังพอสามารถระบุพฤติกรรมที่อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคพุ่มพวงอยู่หลายสาเหตุ โรคนี้ยังต้องใช้ระยะเวลาในการรักษานานและเคร่งครัดเนื่องจากอาการที่กำเริบอาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้
ความเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคพุ่มพวง
- เกิดจากการใช้ยา และสารเคมีต่าง ๆ หรือยาประเภทควบคุมความดันเลือด ยาปฏิชีวนะ เป็นต้น
- เกิดจากฮอร์โมน การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในบางครั้งจะส่งผลด้วย เช่น ช่วงตั้งครรภ์หรือช่วงที่เติบโตในแต่ละวัย เป็นต้น
- การถ่ายทอดพันธุกรรม โรคหรืออาการบางชนิดที่เกิดในวงเครือญาติอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคพุ่มพวงได้
- ปฏิกิริยาต่อแสงแดด สำหรับคนที่มีผิวหนังไวต่อแสงแดดจะทำให้เกิดผลข้างเคียงจากอาการแพ้ดังกล่าวได้
โรคพุ่มพวงรักษาได้ไหม
โรคนี้สามารถรักษาได้แต่ต้องใช้เวลานานพอสมควร อีกทั้งยังต้องติดตามอาการอย่างต่อเนื่อง และทานยาตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด ร่วมกับการดูแลตนเอง ดังนี้
- อยู่ในสถานที่อากาศถ่ายเทได้สะดวก
- หลีกเลี่ยงการถูกแสงแดด
- พักผ่อนให้เพียงพอ
- พยายามออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
ในการติดตามอาการ และการเฝ้าระวังอาการที่กำเริบถือว่าสำคัญอย่างมากเนื่องจากบางอาการหากอาจส่งผลถึงขั้นเสียชีวิตได้
จากโรคภูมิแพ้ เช่น ผื่นคันจากการสัมผัสขนสัตว์ (Animal Allergy) หรือ เกสรดอกไม้ (Pollen allergen)
ภูมิแพ้ขนสัตว์ (Animal Allergy) คือ อาการภูมิแพ้ ที่เกิดจากการสูดหายใจ เอาสารก่อภูมิแพ้จาก ขนสัตว์ เช่น สุนัข แมว หรือสัตว์อื่น ๆ เช่น กระต่าย เป็ด ไก่ หนู เข้าสู่ทางเดินหายใจ เมื่อสูดหายใจเข้าไปทางจมูก หรือเข้าไปในหลอดลม ก็ทำให้เกิดอาการแพ้
อาการภูมิแพ้ขนสัตว์
- อาการภูมิแพ้จมูก อาการคัน จาม ไอ จาม มีน้ำมูก คัดจมูก หายใจไม่ออก ต้องอ้าปากหายใจ
- อาการแพ้ทางผิวหนัง มีผื่นคัน ผื่นลมพิษ อาจมีอาการผิวหนังอักเสบ
- อาการภูมิแพ้ออกตา คันตา น้ำตาไหล ตาแดง
- ปอดและหลอดลม ถ้าเป็นหอบหืด อาจทำให้มีอาการไอ มีเสมหะ และหายใจเสียงดังวี๊ด ๆ
ภูมิแพ้เกสรดอกไม้ (Pollen allergy) คือ อาการภูมิแพ้ ที่เกิดจากการสูดหายใจ เอาละอองของพืช เกสรพืชเข้าสู่ทางเดินหายใจ ซึ่งการแพ้เกสรดอกไม้ มักเกิดขึ้นกับระบบทางเดินหายใจ หรือ เรียกว่า “จมูกอักเสบจากภูมิแพ้” โดยส่วนใหญ่จะไม่ค่อยเกิดตลอดทั้งปี แต่จะมีอาการภูมิแพ้ในบางฤดูกาลเท่านั้น เช่น ในประเทศญี่ปุ่น มีคนญี่ปุ่นกว่า 25 ล้านคน ป่วยเป็นโรค ภูมิแพ้ละอองเกสรดอกไม้ โดยเฉพาะในช่วงเริ่มฤดูใบไม้ผลิ เดือนมีนาคม ถึงเดือนเมษายน
อาการภูมิแพ้ เมื่อแพ้เกสรดอกไม้
อาการแพ้ ขึ้นอยู่กับว่าจะเกิดขึ้นบริเวณใด
- ตา : ตาแดง คันตา เคืองตา น้ำตาไหล
- จมูก : จมูกอักเสบ มีน้ำมูกใส ๆ น้ำมูกไหล หายใจติดขัด ไอ จาม
- ผิวหนัง : มีผื่นคัน ผื่นลมพิษ อาจมีอาการผิวหนังอักเสบ
- ปอดและหลอดลม : หลอดลมหดเกร็ง หอบ ไอ มีเสมหะ
- ต่อมหลังเมือก : ทำให้มีการเพิ่มขึ้นของน้ำมูก เสมหะ
จากการแพ้สารต่างๆ เช่น ผื่นจากแพ้ยา (Drug Allergy)
ผื่นแพ้ยา เป็นปฏิกิริยาตอบสนองของร่างกายที่ส่งผลให้มีผื่นขึ้นบนผิวหนังอย่างเฉียบพลันหรือกึ่งเฉียบพลันหลังใช้ยา เช่น ยาต้านจุลชีพ ยากลุ่มเอนเสด ยาเคมีบำบัด ยาทางจิตเวช และยากันชัก เป็นต้น โดยผื่นแพ้ยามีหลายประเภท ทั้งชนิดที่ไม่รุนแรง และชนิดรุนแรงที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
การแพ้ยา มีอาการอย่างไร
มีอาการแสดงได้หลากหลายระบบ ซึ่งอาการแสดงที่พบบ่อยที่สุด คือ อาการทางผิวหนัง โดยการแพ้ยาสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภทตามความรุนแรง ได้แก่
- การแพ้ยาแบบไม่รุนแรง เช่น ผื่นแดงจางๆ คันผิว เป็นต้น
- การแพ้ยารุนแรงทางผิวหนัง (Severe cutaneous drug reaction) การแพ้ยาแบบนี้อาจเกิดขึ้นได้ตั้งแต่ 2 วัน ถึง 2 เดือนหลังได้รับยา เช่น มีผื่นตุ่มน้ำพอง (Steven Johnson Syndrome, Toxic epidermal necrolysis), drug reaction with eosinophilia and systemic symptoms (DRESS) และ acute generalized exanthematous pustulosis (AGEP) ซึ่งอาจนำมาสู่ความสูญเสียทั้งร่างกายและจิตใจ หรือร้ายแรงจนถึงขั้นเสียชีวิตได้
ข้อควรปฏิบัติเมื่อสงสัยว่าแพ้ยา
- หยุดยาที่สงสัยทันที
- ถ่ายรูปผื่นที่สงสัยไว้ โดยเน้นให้เห็นผื่นชัดเจน ควรถ่ายรูปบริเวณใบหน้า ลำตัว แขน และขา เพื่อเป็นประโยชน์ในการวินิจฉัยของแพทย์ต่อไป
- รีบมาพบแพทย์ พร้อมทั้งนำยาทั้งหมด รวมถึงอาหารเสริม สมุนไพรที่รับประทานในช่วงเวลาดังกล่าวมาด้วย
- หากผื่นมีการเปลี่ยนแปลงให้ถ่ายรูปไว้ทุกครั้ง
- รักษาความสะอาดผิวหนังเสมอ โดยการใช้สบู่ที่อ่อนโยน
- ปกป้องผิวหนังจากแสงแดดเมื่อต้องโดนแดดจัด หรือ ทำงานกลางแจ้ง เช่น ใส่เสื้อแขนยาว
- ใส่หมวกปีกกว้าง และ/หรือใช้ยากันแดด
- กินอาหารมีประโยชน์ครบทั้งห้าหมู่ทุกวัน (อาหารมีประโยชน์ห้าหมู่) เพิ่มผักและผลไม้ เพื่อชะลอผิวเสื่อมก่อนวัย
- เลือกเครื่องสำอาง และเครื่องใช้ต่างๆ ชนิดที่อ่อนโยนต่อผิว เช่น ครีมบำรุงผิว น้ำยาโกนหนวด รวมทั้งยาสีฟัน และทิชชูทำความสะอาด
- หลีกเลี่ยงการอาบน้ำอุ่นจัด ผิวจะแห้งมาก ผิวเสื่อมได้ง่าย
- เลิกบุหรี่ ไม่สูบบุหรี่ เพราะสารพิษในควันบุหรี่ทำลายเซลล์ผิวหนัง และยังเป็นสาเหตุของหลอดเลือดตีบ
- ผิวหนังจึงเสื่อมง่ายจากขาดเลือด
- เรียนรู้ชีวิต ควบคุมความเครียด เพราะเป็นสาเหตุของ สิว และผิวหน้าย่นได้เร็ว
- หลีกเลี่ยงสารที่ก่ออาการแพ้ต่อผิวหนัง
- รักษา ควบคุมโรคที่เป็นสาเหตุให้เกิดโรคผิวหนัง
- สังเกตผิวหนังตนเองเสมอ เช่น ขณะอาบน้ำ และแต่งตัว เมื่อพบสิ่งผิดปกติ ควรพบแพทย์
- การพบแพทย์มะเร็ง เมื่อผิวหนังผิดปกติไปจากเดิม และไม่ดีขึ้น ภายใน 1 สัปดาห์ ควรพบแพทย์เสมอ
เทคโนโลยีการรักษา
ที่เดอซีเคร็ต เราเลือกใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยเพื่อให้ผลการรักษาเป็นที่น่าพึงพอใจมากที่สุด และมีความน่าเชื่อถือมากที่สุด ผู้เข้ารับบริการจึงมั่นใจได้ว่าจะได้รับการดูและรักษาอย่างมีประสิทธิ์ภาพและเห็นผลดีที่สุด
การดูแลอย่างใกล้ชิด
เพื่อให้มั่นใจได้ว่าลูกค้าที่มาใช้บริการที่เดอซีเคร็ตจะได้รับการดูแลอย่างพิเศษ เรามีพนักงานค่อยติดตามผลการรักษา รวมถึงบริการให้คำแนะนำปรึกษาก่อนใช้บริการโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ลูกค้าสามารถปรึกษาขั้นตอนการรักษา งบประมาณ ต่าง ๆ จากพนักงานได้โดยตรง
ทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
ที่เดอะซีเคร็ต เรามีผู้เชียวชาญเฉพาะด้าน ผ่านการฝึกอบรมหลักสูตรเฉพาะทางจากมหาวิทยาลัยระดับชั้นนำจากต่างประเทศ และประสบการณ์ทำงานกว่า 20 ที่ ทีมผู้เชี่ยวชาญยังมีการอบรมเพื่อพัฒนาความรู้อย่างสม่ำเสมอ
สถานที่ให้บริการ
เดอซีเคร็ต คลีนิค อยู่ติดกับโลตัส ประชาชื่น มีที่จอดรถรองรับสำหรับลูกค้าที่ขับรถมาเอง ภายในคลีนิคยังมีพื้นที่รองรับลูกค้าที่มานั่งรอรับบริการ พร้อมเครื่องดื่มไว้บริการด้วยเช่นกัน สอบถามเส้นทาง โทร 02-9102955