คลินิกเฉพาะทางด้านเวชกรรมผิวหนัง

ผื่นแพ้ สิวอักเสบ เชื้อราที่ผิวหนัง หรือโรคผิวหนังเรื้อรัง

ไม่ว่าคุณจะมีปัญหา ผื่นแพ้ สิวอักเสบ เชื้อราที่ผิวหนัง หรือโรคผิวหนังเรื้อรัง D-Secret พร้อมให้คำปรึกษา วิเคราะห์อาการ และออกแบบแนวทางการรักษาเฉพาะบุคคล เพื่อผลลัพธ์ที่ยั่งยืนและปลอดภัยที่สุด

รักษาโรคผิวหนัง โดยแพทย์เฉพาะทางที่ D-Secret

ผิวหนังเป็นอวัยวะที่ห่อหุ้มร่างกายและสะท้อนถึงสุขภาพโดยรวมของเรา แต่เมื่อเกิดปัญหา เช่น ผื่นคัน ผิวหนังอักเสบ สิวเรื้อรัง หรือผิวแพ้ง่าย สิ่งเหล่านี้อาจส่งผลต่อความมั่นใจและคุณภาพชีวิตได้มากกว่าที่คิด การดูแลรักษาโดยแพทย์เฉพาะทางจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด

เหตุผลที่ D-Secret ได้รับความไว้วางใจจากผู้เข้ารับบริการทั่วประเทศ

แพทย์เฉพาะทางผิวหนังโดยตรง

ทีมแพทย์ของเราจบเฉพาะทางด้านผิวหนัง (Dermatology) จากสถาบันแพทย์ชั้นนำ พร้อมประสบการณ์รักษาผู้ป่วยโรคผิวหนังจริงนับพันเคส

ปัญหาผิวที่กวนใจ

การติดเชื้อ ซึ่งติดเชื้อได้ทั้งแบคทีเรีย ไวรัส และเชื้อรา เช่น โรคเริม (Herpes simplex)

โรคเริม เกิดจากเชื้อไวรัสเฮอร์ปีส์ ซิมเพลกซ์ (Herpes simplex virus, HSV) ซึ่งมีอยู่ 2 ได้แก่

HSV-1 (ก่อให้เกิดเริมตามผิวหนังทั่วไป และในช่องปากเป็นส่วนใหญ่)

HSV-2 (ก่อให้เกิดเริมที่อวัยวะเพศเป็นส่วนใหญ่) ติดต่อโดยการสัมผัสโดยตรง ระยะฟักตัวประมาณ 1-2 สัปดาห์ สำหรับโรคเริมที่อวัยวะเพศ ถือเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดหนึ่ง

อาการของเริม มักจะมีอาการแสบ ๆ คัน ๆ นำมาก่อนเล็กน้อย แล้วมีตุ่มน้ำใสขนาด 2-3 มิลลิเมตรขึ้นอยู่กับเป็นกลุ่มโดยรอบจะเป็นผื่นแดง ต่อมาตุ่มน้ำใสนี้จะกลายเป็นสีเหลืองขุ่น แล้วแตกกลายเป็นสะเก็ด หายไปได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์ (เร็วสุด 3 วัน) ตำแหน่งที่พบบ่อย ได้แก่ ริมฝีปาก แก้ม จมูก หู ตา ก้น อวัยวะสืบพันธุ์

เริมที่อวัยวะเพศ (Herpes genitalis) สามารถติดต่อโดยการร่วมเพศกับคนที่เป็นโรคนี้อยู่ก่อน หลังจากนั้น 4-7 วัน จะมีอาการแสบ ๆ คัน ๆ ต่อมาจะขึ้นเป็นตุ่มใส ๆ เล็ก ๆ หลายตุ่มที่อวัยวะเพศในผู้ชายอาจขึ้นที่หนังหุ้มปลายองคชาต ที่ตัวหรือที่หัวองคชาต ส่วนผู้หญิง อาจขึ้นที่ปากช่องคลอด ในช่องคลอด หรือที่ปากมดลูก ต่อมาตุ่มใสเหล่านี้จะแตกกลายเป็นแผลเล็กๆ หลายแผลคล้าย ๆ แผลถลอกและมีอาการเจ็บ แล้วแผลจะค่อย ๆ หายไปเองภายใน 1-2 สัปดาห์ โดยไม่มีแผลเป็น ต่อม             น้ำเหลืองที่ขาหนีบ (ไข่ดัน) อาจโตและเจ็บด้วย เมื่อเคยเป็นครั้งหนึ่งแล้ว เชื้อจะหลบไปที่ปมประสาท เมื่อร่างกายทรุดโทรม หรือมีการเสียดสี (การร่วมเพศ) เชื้อก็จะโผล่ขึ้นมาทำให้เกิดโรคได้อีก โดยไม่ได้ติดเชื้อจากการร่วมเพศมา ใหม่ ดังนั้นคนที่เคยเป็นโรคนี้ ก็อาจจะมีอาการกำเริบซ้ำ ๆ ซาก ๆ

เริมที่ริมฝีปาก (Herpes labialis หรือ Fever blister) มักขึ้นที่บริเวณผิวหนังใกล้ๆ ริมฝีปาก เริมในช่องปาก อาจพบในเด็ก เป็นตุ่มน้ำเจ็บปวด แล้วแตกเป็นแผลตื้นๆ บริเวณกระพุ้งแก้ม เหงือก เพดานปาก ลิ้น อาจรุนแรงจนกินอาหารไม่ได้

การรักษา

  • ให้การรักษาตามอาการ เช่น ถ้าปวดหรือมีไข้ ให้ยาแก้ปวดลดไข้ ถ้ารู้สึกแสบ ๆ คันๆ ให้ ทาด้วยยาแก้ผดผื่นคัน
  • เด็กที่เป็นเริมในช่องปาก ให้ดื่มน้ำบ่อย ๆ ป้ายยาภายในช่องปาก วันละ 3-4 ครั้ง ถ้ามีไข้ควรให้เด็กรับประทานยาลดไข้ หากเด็กรับประทานอะไรไม่ได้ อาจต้องให้น้ำเกลือทางหลอดเลือดดำ

ถ้าเป็นรุนแรงหรือขึ้นในตาดำ ควรส่งโรงพยาบาลภายใน 24 ชั่วโมง โรคนี้มักจะเป็นๆ หายๆ เรื้อรัง ก่อให้เกิดความกังวลใจกับผู้ที่เป็นไม่น้อย การเข้ารับการรักษาจาก แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านผิวหนังเป็นทางออกที่ ดีสำหรับผู้ป่วยในโรคนี้ นอกจากทำให้ทราบแน่ชัดว่าเป็นโรคอะไรแล้วยังมีวิธีการรักษาเฉพาะทางที่ตรง กับโรคด้วย

จากโรคภูมิแพ้ตนเอง (ภูมิต้านตนเอง) เช่น โรคพุ่มพวง (โรคลูปัส/Lupus)

โรคพุ่มพวง หรือโรคแพ้ภูมิตัวเอง SLE (Systemic Lupus Erythematosus, SLE) เกิดจากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันที่ทำลายเนื้อเยื่อร่างกายของตนเอง แต่สาเหตุที่ภูมิคุ้มกันทำงานผิดพลาดนั้นยังไม่แน่ชัด แต่ยังพอสามารถระบุพฤติกรรมที่อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคพุ่มพวงอยู่หลายสาเหตุ โรคนี้ยังต้องใช้ระยะเวลาในการรักษานานและเคร่งครัดเนื่องจากอาการที่กำเริบอาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้

ความเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคพุ่มพวง

  • เกิดจากการใช้ยา และสารเคมีต่าง ๆ หรือยาประเภทควบคุมความดันเลือด ยาปฏิชีวนะ เป็นต้น
  • เกิดจากฮอร์โมน การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในบางครั้งจะส่งผลด้วย เช่น ช่วงตั้งครรภ์หรือช่วงที่เติบโตในแต่ละวัย เป็นต้น
  • การถ่ายทอดพันธุกรรม โรคหรืออาการบางชนิดที่เกิดในวงเครือญาติอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคพุ่มพวงได้
  • ปฏิกิริยาต่อแสงแดด สำหรับคนที่มีผิวหนังไวต่อแสงแดดจะทำให้เกิดผลข้างเคียงจากอาการแพ้ดังกล่าวได้

โรคพุ่มพวงรักษาได้ไหม

โรคนี้สามารถรักษาได้แต่ต้องใช้เวลานานพอสมควร อีกทั้งยังต้องติดตามอาการอย่างต่อเนื่อง และทานยาตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด ร่วมกับการดูแลตนเอง ดังนี้

  • อยู่ในสถานที่อากาศถ่ายเทได้สะดวก
  • หลีกเลี่ยงการถูกแสงแดด
  • พักผ่อนให้เพียงพอ
  • พยายามออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

ในการติดตามอาการ และการเฝ้าระวังอาการที่กำเริบถือว่าสำคัญอย่างมากเนื่องจากบางอาการหากอาจส่งผลถึงขั้นเสียชีวิตได้

จากโรคภูมิแพ้ เช่น ผื่นคันจากการสัมผัสขนสัตว์ (Animal Allergy) หรือ เกสรดอกไม้ (Pollen allergen)

ภูมิแพ้ขนสัตว์ (Animal Allergy) คือ อาการภูมิแพ้ ที่เกิดจากการสูดหายใจ เอาสารก่อภูมิแพ้จาก ขนสัตว์ เช่น สุนัข แมว หรือสัตว์อื่น ๆ เช่น กระต่าย เป็ด ไก่ หนู เข้าสู่ทางเดินหายใจ เมื่อสูดหายใจเข้าไปทางจมูก หรือเข้าไปในหลอดลม ก็ทำให้เกิดอาการแพ้

อาการภูมิแพ้ขนสัตว์

  • อาการภูมิแพ้จมูก อาการคัน จาม ไอ จาม มีน้ำมูก คัดจมูก หายใจไม่ออก ต้องอ้าปากหายใจ
  • อาการแพ้ทางผิวหนัง มีผื่นคัน ผื่นลมพิษ อาจมีอาการผิวหนังอักเสบ
  • อาการภูมิแพ้ออกตา คันตา น้ำตาไหล ตาแดง
  • ปอดและหลอดลม ถ้าเป็นหอบหืด อาจทำให้มีอาการไอ มีเสมหะ และหายใจเสียงดังวี๊ด ๆ

ภูมิแพ้เกสรดอกไม้ (Pollen allergy) คือ อาการภูมิแพ้ ที่เกิดจากการสูดหายใจ เอาละอองของพืช เกสรพืชเข้าสู่ทางเดินหายใจ ซึ่งการแพ้เกสรดอกไม้ มักเกิดขึ้นกับระบบทางเดินหายใจ หรือ เรียกว่า “จมูกอักเสบจากภูมิแพ้” โดยส่วนใหญ่จะไม่ค่อยเกิดตลอดทั้งปี แต่จะมีอาการภูมิแพ้ในบางฤดูกาลเท่านั้น เช่น ในประเทศญี่ปุ่น มีคนญี่ปุ่นกว่า 25 ล้านคน ป่วยเป็นโรค ภูมิแพ้ละอองเกสรดอกไม้ โดยเฉพาะในช่วงเริ่มฤดูใบไม้ผลิ เดือนมีนาคม ถึงเดือนเมษายน

อาการภูมิแพ้ เมื่อแพ้เกสรดอกไม้

อาการแพ้ ขึ้นอยู่กับว่าจะเกิดขึ้นบริเวณใด

  • ตา : ตาแดง คันตา เคืองตา น้ำตาไหล
  • จมูก : จมูกอักเสบ มีน้ำมูกใส ๆ น้ำมูกไหล หายใจติดขัด ไอ จาม
  • ผิวหนัง : มีผื่นคัน ผื่นลมพิษ อาจมีอาการผิวหนังอักเสบ
  • ปอดและหลอดลม : หลอดลมหดเกร็ง หอบ ไอ มีเสมหะ
  • ต่อมหลังเมือก : ทำให้มีการเพิ่มขึ้นของน้ำมูก เสมหะ

จากการแพ้สารต่างๆ เช่น ผื่นจากแพ้ยา (Drug Allergy)

ผื่นแพ้ยา เป็นปฏิกิริยาตอบสนองของร่างกายที่ส่งผลให้มีผื่นขึ้นบนผิวหนังอย่างเฉียบพลันหรือกึ่งเฉียบพลันหลังใช้ยา เช่น ยาต้านจุลชีพ ยากลุ่มเอนเสด ยาเคมีบำบัด ยาทางจิตเวช และยากันชัก เป็นต้น โดยผื่นแพ้ยามีหลายประเภท ทั้งชนิดที่ไม่รุนแรง และชนิดรุนแรงที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้

การแพ้ยา มีอาการอย่างไร

มีอาการแสดงได้หลากหลายระบบ ซึ่งอาการแสดงที่พบบ่อยที่สุด คือ อาการทางผิวหนัง โดยการแพ้ยาสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภทตามความรุนแรง ได้แก่

  1. การแพ้ยาแบบไม่รุนแรง เช่น ผื่นแดงจางๆ คันผิว เป็นต้น
  2. การแพ้ยารุนแรงทางผิวหนัง (Severe cutaneous drug reaction) การแพ้ยาแบบนี้อาจเกิดขึ้นได้ตั้งแต่ 2 วัน ถึง 2 เดือนหลังได้รับยา เช่น มีผื่นตุ่มน้ำพอง (Steven Johnson Syndrome, Toxic epidermal necrolysis), drug reaction with eosinophilia and systemic symptoms (DRESS) และ acute generalized exanthematous pustulosis (AGEP) ซึ่งอาจนำมาสู่ความสูญเสียทั้งร่างกายและจิตใจ หรือร้ายแรงจนถึงขั้นเสียชีวิตได้

ข้อควรปฏิบัติเมื่อสงสัยว่าแพ้ยา

  • หยุดยาที่สงสัยทันที
  • ถ่ายรูปผื่นที่สงสัยไว้ โดยเน้นให้เห็นผื่นชัดเจน ควรถ่ายรูปบริเวณใบหน้า ลำตัว แขน และขา เพื่อเป็นประโยชน์ในการวินิจฉัยของแพทย์ต่อไป
  • รีบมาพบแพทย์ พร้อมทั้งนำยาทั้งหมด รวมถึงอาหารเสริม สมุนไพรที่รับประทานในช่วงเวลาดังกล่าวมาด้วย
  • หากผื่นมีการเปลี่ยนแปลงให้ถ่ายรูปไว้ทุกครั้ง

ปรึกษาโรคผิวหนัง

คลีนิครักษา โรคผิวหนัง โดยแพทย์เฉพาะทาง

  1. รักษาความสะอาดผิวหนังเสมอ โดยการใช้สบู่ที่อ่อนโยน
  2. ปกป้องผิวหนังจากแสงแดดเมื่อต้องโดนแดดจัด หรือ ทำงานกลางแจ้ง เช่น ใส่เสื้อแขนยาว
  3. ใส่หมวกปีกกว้าง และ/หรือใช้ยากันแดด
  4. กินอาหารมีประโยชน์ครบทั้งห้าหมู่ทุกวัน (อาหารมีประโยชน์ห้าหมู่) เพิ่มผักและผลไม้ เพื่อชะลอผิวเสื่อมก่อนวัย
  5. เลือกเครื่องสำอาง และเครื่องใช้ต่างๆ ชนิดที่อ่อนโยนต่อผิว เช่น ครีมบำรุงผิว น้ำยาโกนหนวด รวมทั้งยาสีฟัน และทิชชูทำความสะอาด
  6. หลีกเลี่ยงการอาบน้ำอุ่นจัด ผิวจะแห้งมาก ผิวเสื่อมได้ง่าย
  7. เลิกบุหรี่ ไม่สูบบุหรี่ เพราะสารพิษในควันบุหรี่ทำลายเซลล์ผิวหนัง และยังเป็นสาเหตุของหลอดเลือดตีบ
  8. ผิวหนังจึงเสื่อมง่ายจากขาดเลือด
  9. เรียนรู้ชีวิต ควบคุมความเครียด เพราะเป็นสาเหตุของ สิว และผิวหน้าย่นได้เร็ว
  10. หลีกเลี่ยงสารที่ก่ออาการแพ้ต่อผิวหนัง
  11. รักษา ควบคุมโรคที่เป็นสาเหตุให้เกิดโรคผิวหนัง
  12. สังเกตผิวหนังตนเองเสมอ เช่น ขณะอาบน้ำ และแต่งตัว เมื่อพบสิ่งผิดปกติ ควรพบแพทย์
  13. การพบแพทย์มะเร็ง เมื่อผิวหนังผิดปกติไปจากเดิม และไม่ดีขึ้น ภายใน 1 สัปดาห์ ควรพบแพทย์เสมอ

เราคือทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

ด้านโรคผิวหนัง

• เป็นคลินิกรักษาโรคผิวหนัง รักษาเล็บขบ เลเซอร์ กระ หลุมสิว เลเซอร์หูด ติ่งเนื้อ

• คลินิกได้มีการรับรองด้วยมาตรฐานสากล ปลอดภัย

• มีผู้เชียวชาญเฉพาะด้าน ผ่านการฝึกอบรมหลักสูตรเฉพาะทางจากมหาวิทยาลัยระดับชั้นนำจากต่างประเทศ และประสบการณ์ทำงานกว่า 20 ปี ทีมผู้เชี่ยวชาญยังมีการอบรมเพื่อพัฒนาความรู้อย่างสม่ำเสมอ

• การดูแลอย่างพิเศษ เรามีพนักงานค่อยติดตามผลการรักษา รวมถึงบริการให้คำแนะนำปรึกษาก่อนใช้บริการโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ลูกค้าสามารถปรึกษาขั้นตอนการรักษา งบประมาณ ต่าง ๆ จากพนักงานได้โดยตรง

• เทคโนโลยีที่ทันสมัยเพื่อให้ผลการรักษาเป็นที่น่าพึงพอใจมากที่สุด และมีความน่าเชื่อถือมากที่สุด ผู้เข้ารับบริการจึงมั่นใจได้ว่าจะได้รับการดูและรักษาอย่างมีประสิทธิ์ภาพและเห็นผลดีที่สุด

ตั้งอยู่ที่ 67 ซอย ประชาชื่น 2 ถนน ริมคลองประปา
แขวงบางซื่อ เขตบางซื่อ กรุงเทพมหานคร 10800 ติดกับโลตัส ประชาชื่น มีที่จอดรถรองรับสำหรับลูกค้า
ที่ขับรถมาเอง ภายในคลีนิคยังมีพื้นที่รองรับลูกค้าที่มานั่งรอรับบริการ พร้อมเครื่องดื่มไว้บริการด้วยเช่นกัน สอบถามเส้นทาง โทร 02-9102955 เปิดบริการทุกวัน 10.00-18.00น. 

เปิดให้บริการด้านความงามหลากหลายประเภท เพื่อรองรับความต้องการที่ต่างกัน ทั้งการดูแลด้านผิวพรรณ รักษาเล็บขบ เลเซอร์ กระ หลุมสิว เลเซอร์หูด ติ่งเนื้อต่างๆ ตอบโจทย์สาวยุคใหม่ที่ใส่ใจความงาม ด้วยบรรยากาศที่เป็นกันเอง ทันสมัย มีมาตรฐาน สะอาดถูกสุขอนามัย ทำให้ ศูนย์รักษาโรคผิวหนัง เซเว่น พลัส ได้รับความไว้วางใจจากผู้ใช้บริการ ว่ามีการให้บริการที่ดีตลอดมา